ภาพของธัญพิมล
https://plus.google.com/u/0/photos
วันเสาร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2556
การกล่าวสุทรพจน์
สุนทรพจน์ หมายถึง คำพูดที่ดีงาม ไพเราะจับใจ การพูดสุนทรพจน์มักมีในพิธีสำคัญ เช่น พิธีต้อนรับแขกเมืองคนสำคัญ พิธี
ได้รับตำแหน่งสำคัญ เช่น นายกรัฐมนตรี ประธานาธิบดีหรือกล่าวในงานฉลองระลึกถึงบุคคลสำคัญ วันสำคัญ ระดับชาติ หรือเป็น
การกล่าวในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพื่อสร้างสรรค์จรรโลงใจ เป็นคำพูดที่แสดงความปรารถนาดีในทางการเมือง การกล่าวสุนทรพจน์
เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง มักได้รับการยกย่องว่าเป็นการพูดชั้นยอด
ลักษณะการพูดสุนทรพจน์ ใช้ถ้อยคำไพเราะลึกซึ้งกินใจ จับใจ
โน้มน้าวให้ผู้ฟังเห็นคล้อยตาม
กระตุ้นผู้ฟัง มีความมั่นใจและยินดีร่วมมือ
สร้างบรรยากาศให้เกิดความหรรษาและให้ความสุขแก่ผู้ฟัง
โครงสร้างทั่วไปของการพูดสุนทรพจน์ ๑. ตอนเปิดเรื่อง กระตุ้นให้ผู้ฟังเห็นความสำคัญของเรื่องที่จะพูด
๒. ดำเนินเรื่อง ประกอบด้วยเนื้อหาสาระลำดับความสำคัญอย่างชัดเจน
๓. ตอนจบเรื่อง สรุปความทิ้งท้ายให้ผู้ฟังนำไปคิด หรือฝากไว้ในความทรงจำตลอดไป
โครงสร้างและขั้นตอนของสุนทรพจน์ คำนำ หรือการเริ่มต้น (Introduction) เป็นการบอกกล่าวว่าผู้พูดเป็นใคร พูดในฐานะอะไรในโอกาสใด แล้วนำเข้าสู่เนื้อหา
ด้วยวิธีการที่เร้าความสนใจ เช่นใช้สุภาษิต คำคม หรือเหตุการณ์ปัจจุบันที่สอดคล้องกับเรื่องราวที่จะกล่าวต่อไป
เนื้อเรื่อง หรือสาระสำคัญของเรื่อง (Discussion) ควรแยกประเด็นเป็นข้อๆ โดยคำนึงถึงเอกภาพ คือความเป็นหนึ่งเดียว
ของเรื่อง สัมพันธภาพคือความเกี่ยวเนื่องกัน และสารัตถภาพ หรือการเน้นย้ำประเด็นสำคัญของเรื่อง แต่ละประเด็นต้องมีข้อมูล
หลักฐานอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ และมีตัวอย่างประกอบให้ชัดเจน
สรุปจบ หรือการลงท้าย (Conclusion) อาจทำได้หลายวิธี เช่น สรุปทบทวนประเด็นเนื้อหาเสนอข้อคิด หรือแนวทางการ
ปฏิบัติเน้นประเด็นสำคัญ และแสดงความหวังว่า น่าจะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้
ได้รับตำแหน่งสำคัญ เช่น นายกรัฐมนตรี ประธานาธิบดีหรือกล่าวในงานฉลองระลึกถึงบุคคลสำคัญ วันสำคัญ ระดับชาติ หรือเป็น
การกล่าวในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพื่อสร้างสรรค์จรรโลงใจ เป็นคำพูดที่แสดงความปรารถนาดีในทางการเมือง การกล่าวสุนทรพจน์
เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง มักได้รับการยกย่องว่าเป็นการพูดชั้นยอด
ลักษณะการพูดสุนทรพจน์ ใช้ถ้อยคำไพเราะลึกซึ้งกินใจ จับใจ
โน้มน้าวให้ผู้ฟังเห็นคล้อยตาม
กระตุ้นผู้ฟัง มีความมั่นใจและยินดีร่วมมือ
สร้างบรรยากาศให้เกิดความหรรษาและให้ความสุขแก่ผู้ฟัง
โครงสร้างทั่วไปของการพูดสุนทรพจน์ ๑. ตอนเปิดเรื่อง กระตุ้นให้ผู้ฟังเห็นความสำคัญของเรื่องที่จะพูด
๒. ดำเนินเรื่อง ประกอบด้วยเนื้อหาสาระลำดับความสำคัญอย่างชัดเจน
๓. ตอนจบเรื่อง สรุปความทิ้งท้ายให้ผู้ฟังนำไปคิด หรือฝากไว้ในความทรงจำตลอดไป
โครงสร้างและขั้นตอนของสุนทรพจน์ คำนำ หรือการเริ่มต้น (Introduction) เป็นการบอกกล่าวว่าผู้พูดเป็นใคร พูดในฐานะอะไรในโอกาสใด แล้วนำเข้าสู่เนื้อหา
ด้วยวิธีการที่เร้าความสนใจ เช่นใช้สุภาษิต คำคม หรือเหตุการณ์ปัจจุบันที่สอดคล้องกับเรื่องราวที่จะกล่าวต่อไป
เนื้อเรื่อง หรือสาระสำคัญของเรื่อง (Discussion) ควรแยกประเด็นเป็นข้อๆ โดยคำนึงถึงเอกภาพ คือความเป็นหนึ่งเดียว
ของเรื่อง สัมพันธภาพคือความเกี่ยวเนื่องกัน และสารัตถภาพ หรือการเน้นย้ำประเด็นสำคัญของเรื่อง แต่ละประเด็นต้องมีข้อมูล
หลักฐานอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ และมีตัวอย่างประกอบให้ชัดเจน
สรุปจบ หรือการลงท้าย (Conclusion) อาจทำได้หลายวิธี เช่น สรุปทบทวนประเด็นเนื้อหาเสนอข้อคิด หรือแนวทางการ
ปฏิบัติเน้นประเด็นสำคัญ และแสดงความหวังว่า น่าจะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้
คำาราชาศัพท์
ความหมายของคำราชาศัพท์
คำราชาศัพท์ คือ คำสุภาพที่ใช้ให้เหมาะสมกับฐานะของบุคคลต่างๆ คำราชาศัพท์เป็นการกำหนดคำและภาษาที่สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมอันดีงามของ ไทย แม้คำราชาศัพท์จะมีโอกาสใช้ในชีวิตน้อย แต่เป็นสิ่งที่แสดงถึงความละเอียดอ่อนของภาษาไทยที่มีคำหลายรูปหลายเสียงใน ความหมายเดียวกัน และเป็น ลักษณะพิเศษของภาษาไทย โดยเฉพาะ ซึ่งใช้กับบุคคลกลุ่มต่างๆ ดังต่อไปนี้
คำราชาศัพท์ คือ คำสุภาพที่ใช้ให้เหมาะสมกับฐานะของบุคคลต่างๆ คำราชาศัพท์เป็นการกำหนดคำและภาษาที่สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมอันดีงามของ ไทย แม้คำราชาศัพท์จะมีโอกาสใช้ในชีวิตน้อย แต่เป็นสิ่งที่แสดงถึงความละเอียดอ่อนของภาษาไทยที่มีคำหลายรูปหลายเสียงใน ความหมายเดียวกัน และเป็น ลักษณะพิเศษของภาษาไทย โดยเฉพาะ ซึ่งใช้กับบุคคลกลุ่มต่างๆ ดังต่อไปนี้
- พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ
- พระบรมวงศานุวงศ์
- พระภิกษุสงฆ์ สามเณร
- ขุนนาง ข้าราชการ
- สุภาพชน
คำราชาศัพท์ที่ควรทราบ
คำราชาศัพท์ที่ใช้เป็นคำนาม
คำสามัญ | คำราชาศัพท์ | คำสามัญ | คำราชาศัพท์ |
หัว(พระมหากษัตริย์) | พระเจ้า | หัว | พระเศียร |
ผม(พระมหากษัตริย์) | เส้นพระเจ้า | ผม | พระเกศา,พระเกศ,พระศก |
หน้าผาก | พระนลาฎ | คิว | พระขนง,พระภมู |
ขนระหว่างคิว | พระอุณาโลม | ดวงตา | พระจักษุ,พระนัยนา,พระเนตร |
จมูก | พระนาสา,พระนาสิก | แก้ม | พระปราง |
ปาก | พระโอษฐ์ | ฟัน | พระทนต์ |
ลิ้น | พระชิวหา | คาง | พระหนุ |
หู | พระกรรณ | คอ | พระศอ |
ดวงตา | พระพักตร์ | หนวด | พระมัสสุ |
บ่า,ไหล่ | พระอังสา | ต้นแขน | พระพาหา,พระพาหุ |
ปลายแขน | พระกร | มือ | พระหัตถ์ |
นิ้วมือ | พระองคุลี | เล็บ | พระนขา |
ห้อง | พระอุทร | เอว | พระกฤษฎี,บั้นพระเอว |
ขา,ตัก | พระเพลา | แข้ง | พระชงฆ์ |
เท้า | พระบาท | ขน | พระโลมา |
ปอด | พระปัปผาสะ | กระดูก | พระอัฐิ |
หมวดขัตติยตระกูล
คำสามัญ | คำราชาศัพท์ | คำสามัญ | คำราชาศัพท์ |
ปู่,ตา | พระอัยกา | ย่า,ยาย | พระอัยยิกา,พระอัยกี |
ลุง,อา(พี่-น้องชาย ของพ่อ | พระปิตุลา | ป้า,อา(พี่-น้องสาวของ พ่อ) | พระมาตุจฉา |
พ่อ | พระชนก,พระบิดา | แม่ | พระชนนี,พระมารดา |
พี่ชาย | พระเชษฐา,พระเชษฐภาตา | น้องสาว | พระราชธิดา,พระธิดา |
หลาน | พระนัดดา | แหลน | พระปนัดดา |
ลูกเขย | พระชามาดา | ลูกสะใภ้ | พระสุณิสา |
หมวดเครื่องใช้
คำสามัญ | คำราชาศัพท์ | คำสามัญ | คำราชาศัพท์ | คำสามัญ | คำราชาศัพท์ |
ยา | พระโอสถ | แว่นตา | ฉลองพระเนตร | หวี | พระสาง |
กระจก | พระฉาย | น้ำหอม | พระสุคนธ์ | หมวก | พระมาลา |
ตุ้มหู | พระกุณฑล | แหวน | พระธำมรงค์ | ร่ม | พระกลด |
ประตู | พระทวาร | หน้าต่าง | พระบัญชร | อาวุธ | พระแสง |
ฟูก | พระบรรจถรณ์ | เตียงนอน | พระแท่นบรรทม | มุ้ง | พระวิสูตร |
ผ้าห่มนอน | ผ้าคลุมบรรทม | ผ้านุ่ง | พระภูษาทรง | ผ้าเช็ดหน้า | ผ้าชับพระพักตร์ |
น้ำ | พระสุธารส | เหล้า | น้ำจัณฑ์ | ของกิน | เครื่อง |
ช้อน | พระหัตถ์ ช้อน | ข้าว | พระกระยาเสวย | หมาก | พระศรี |
ปริศนาคำทาย
อะไรเอ่ย เจ๊กขาย ไทยเขียน (เฉลย : เทียนไข)
ปริศนาคำทาย : สองบวกสอง ได้อะไร (เฉลย : กระต่าย พูดพร้อมยกมือที่ชูนิ้วชี้และนิ้วกลางทั้งสองข้างขึ้นไปวางไว้เหนือศีรษะ)
ปริศนาคำทาย หมายถึง "ถ้อยคำที่ยกขึ้นเป็นเงื่อนงำเพื่อให้แก้ ให้ทาย การเล่นทายกันมักนิยมกันในหมู่เด็ก ๆ หรือผู้ใหญ่ก็ยกคำทายเพื่อมาทายเด็ก เป็นการฝึกสมอง ลองปัญญาและก่อให้เกิดความบันเทิงใจด้วย การเล่นปริศนาคำทาย นอกจากจะฝึกสมองลองปัญญาแล้ว ยังฝึกให้เด็ก ๆ รู้จักจำ รู้จักสังเกต เป็นวิธีการสอนเด็กที่ชาญฉลาดอย่างยิ่ง"
ลักษณะของปริศนาคำทาย
ปริศนาคำทายมีองค์ประกอบหลัก ๒ ส่วนคือ ปริศนา และคำเฉลย
ปริศนาคำทายมีองค์ประกอบหลัก ๒ ส่วนคือ ปริศนา และคำเฉลย
ลักษณะเด่นทางเนื้อหา
ปริศนาคำทายนั้นมีเนื้อหาหลากหลาย แต่เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้วสามารถสรุปลักษณะเด่นทางเนื้อหาได้เป็น ๓ ประการ คือ เนื้อหาเกิดจากการสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบตัว เนื้อหาเกิดจากความใส่ใจภาษา และเนื้อหาเกิดจากความคิดสร้างสรรค์ที่แหวกขนบ
๑) เนื้อหาเกิดจากการสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบตัว เช่น
ปริศนาคำทายนั้นมีเนื้อหาหลากหลาย แต่เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้วสามารถสรุปลักษณะเด่นทางเนื้อหาได้เป็น ๓ ประการ คือ เนื้อหาเกิดจากการสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบตัว เนื้อหาเกิดจากความใส่ใจภาษา และเนื้อหาเกิดจากความคิดสร้างสรรค์ที่แหวกขนบ
๑) เนื้อหาเกิดจากการสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบตัว เช่น
- อะไรเอ่ย ต้นเท่าลำเรือ ใบห่อเกลือไม่มิด (เฉลย : ต้นมะขาม)
อะไรเอ่ย เจ๊กขาย ไทยเขียน (เฉลย : เทียนไข)
๓) เนื้อหาเกิดจากความคิดสร้างสรรค์ที่แหวกขนบ
ปัญหาวิชาการ : สองบวกสอง ได้อะไร (คำตอบ : สี่)
ปริศนาคำทาย : สองบวกสอง ได้อะไร (เฉลย : กระต่าย พูดพร้อมยกมือที่ชูนิ้วชี้และนิ้วกลางทั้งสองข้างขึ้นไปวางไว้เหนือศีรษะ)
การขับเสภา
การขับเสภา
การขับเสภาเป็นการเล่าเรื่องประเภทหนึ่งโดยกำเนิดมาจากการเล่า
นิทาน เมื่อการเล่านิทานเริ่มแพร่หลายจึงได้แต่งเป็นกลอนใส่ทำนอง
โดยใช้กรับเป็นเครื่องประกอบจังหวะ
วิวัฒนาการการขับเสภา
การขับเสภาสันนิษฐานว่าเกิดในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ใน
ยุคแรกยังไม่มีดนตรีประกอบ จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธ
เลิศหล้านภาลัยจึงมีวงปี่พาทย์ประกอบ
ประเภทของการขับเสภา
การขับเสภาแบ่งตามลักษณะการแสดงได้ 2 ประเภทดังนี้
1.เสภาทรงเครื่อง เกิดในยุครัชกาลที่ 4 โดยการขับเสภาประเภท
นีจะมีการร้องส่งให้ปี่พาทย์รับด้วย
ตามคำขับเสภา และมีการเจรจาตามเนื้อร้อง เสภาที่นิยมขับ
เช่นในเรื่องขุนช้างขุนแผน
การผวนคำ
คำผวน เป็นวิธีการสลับคำ โดยใช้สระและ ตัวสะกด
ของพยางค์หน้า
และพยางค์สุดท้าย มาสลับกัน ทำให้เกิดคำใหม่ที่อาจไม่มี
ความหมาย แต่การออกเสียงจะคล้องจองกับรูปเดิม ทำให้สื่อความ
หมายกันได้
คำผวนนั้นนิยมใช้กับคำสองหรือสามพยางค์เป็น
ส่วนใหญ่ เพราะสามารถสลับตำแหน่งได้ง่าย คำพยางค์เดียวนั้นไม่
สามารถผวนได้ ส่วนคำหลายพยางค์ อาจต้องแยกเป็นส่วนๆ
ไม่สามารถสลับตำแหน่งอย่างคำน้อยพยางค์ วิธีการสร้างคำผวน
เรียกว่า "ผวน" หรือ "การผวนคำ"
ตัวอย่าง
พักรบ ผวนเป็น พบรัก
นักร้อง ผวนเป็น น้องรัก
ของพยางค์หน้า
และพยางค์สุดท้าย มาสลับกัน ทำให้เกิดคำใหม่ที่อาจไม่มี
ความหมาย แต่การออกเสียงจะคล้องจองกับรูปเดิม ทำให้สื่อความ
หมายกันได้
คำผวนนั้นนิยมใช้กับคำสองหรือสามพยางค์เป็น
ส่วนใหญ่ เพราะสามารถสลับตำแหน่งได้ง่าย คำพยางค์เดียวนั้นไม่
สามารถผวนได้ ส่วนคำหลายพยางค์ อาจต้องแยกเป็นส่วนๆ
ไม่สามารถสลับตำแหน่งอย่างคำน้อยพยางค์ วิธีการสร้างคำผวน
เรียกว่า "ผวน" หรือ "การผวนคำ"
ตัวอย่าง
พักรบ ผวนเป็น พบรัก
นักร้อง ผวนเป็น น้องรัก
ธงชาติของไทย
ธงชาติในสมัยต่างๆนำช้างที่เชื่อว่าเป็นสัตว์มงคลที่สุดคือช้างเผือกไทยเคยใช้รูปช้างเป็นธงชาติตั้งเเต่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ธงสมัยรัชกาลที่ 1
ธงสมัยรัชกาลที่ 2
ธงสมัยรัชกาลที่ 4
ปัจจุบันใช้ธงไตรรงค์
ธงสมัยรัชกาลที่ 1
ธงสมัยรัชกาลที่ 2
ธงสมัยรัชกาลที่ 4
ปัจจุบันใช้ธงไตรรงค์
พ.ศ. 2470 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริว่า ธงชาติไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงมาหลายครั้งแล้ว
ควรหาข้อกำหนดเรื่องธงชาติให้เป็นการถาวร จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชบรรทึก พระราชทานไปยังองคมนตรี เพื่อให้เสนอความเห็นของคนหมู่มากว่า จะคงใช้ธงไตรรงค์ดังที่ใช้อยู่เป็นธงชาติต่อไป
หรือจะกลับไปใช้ธงช้างแทน หรือจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงลักษณะธงชาติ กับวิธีใช้ธงไตรรงค์อย่างไรผลปรากฏว่าความเห็นขององคมนตรีแตกต่างกระจายกันมาก จึงมิได้กราบบังคมทูลข้อชี้ขาด ดังนั้นจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระบรมราชวินิจฉัยลงวันที่
25 พฤษภาคม พ.ศ. 2470 ให้คงใช้ธงไตรรงค์เป็นธงชาติต่อไป
ควรหาข้อกำหนดเรื่องธงชาติให้เป็นการถาวร จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชบรรทึก พระราชทานไปยังองคมนตรี เพื่อให้เสนอความเห็นของคนหมู่มากว่า จะคงใช้ธงไตรรงค์ดังที่ใช้อยู่เป็นธงชาติต่อไป
หรือจะกลับไปใช้ธงช้างแทน หรือจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงลักษณะธงชาติ กับวิธีใช้ธงไตรรงค์อย่างไรผลปรากฏว่าความเห็นขององคมนตรีแตกต่างกระจายกันมาก จึงมิได้กราบบังคมทูลข้อชี้ขาด ดังนั้นจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระบรมราชวินิจฉัยลงวันที่
25 พฤษภาคม พ.ศ. 2470 ให้คงใช้ธงไตรรงค์เป็นธงชาติต่อไป
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 รัฐบาลต่าง ๆ ยังคงรับรองให้ใช้ธงไตรรงค์เป็นธงชาติอยู่เช่นเดิม โดยมีการออกพระราชบัญญัติธงฉบับ พ.ศ. 2479 เป็นกฎหมายรับรองฐานะของธงไตรรงค์ และหลังจากเปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามเป็นไทยในปี พ.ศ. 2482 รัฐบาลต่าง ๆ ยังคงรับรองให้ใช้ธงไตรรงค์เป็นธงชาติอยู่เช่นเดิมจนถึงปัจจุบัน โดยมีการออกพระราชบัญญัติธงฉบับ พ.ศ. 2522เป็นกฎหมายรับรองฐานะของธงไตรรงค์
พืชมงคล
การปลูกพืชมลคลเป็นความเชื่ออย่างหนึ่งของคนไทยที่สืบทอดกันมาจนกลายเป็นภูมิปัญญาอย่างหนึ่งที่อาจเป็นการใช้อุบายในการปลูกพืชเพื่อเหมาะสมกับบริเวณบ้าน
ตัวอย่าพืชมงคล
ต้นบานไม่รู้โรย
บ้านไหนมีคู่รักต้องปลูกต้นบานไม่รู้โรยไว้ในบ้านด้วย เพราะชื่อบานไม่รู้โรยเป็นชื่อมงคล หมายความถึง ความยั่งยืน ความอดทน และไม่ย่อท้อ หากเปรียบกับความรักก็เหมือนความรักที่ยั่งยืน ช่วยให้คู่รักมีความผูกพันมั่นคงต่อกันไปนาน ๆ ปราศจากความโรยรา หรือผันแปรตลอดไป
ต้นโกสน
ไม้พุ่มหลากสีชนิดนี้ นิยมเป็นปลูกกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยเฉพาะภายในพระราชวัง และวัด เพื่อหวังให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข หากนำมาปลูกในบ้าน ก็จะทำให้ครอบครัวมีแต่ความสงบสุข ปราศจากความขัดแย้งใด ๆ นั่นเพราะคนสมัยก่อนเชื่อกันว่า คำว่า "โกสน" มีเสียงใกล้เคียงกับคำว่า "กุศล" ซึ่งหมายถึงการสร้างบุญ สร้างสิ่งที่ดีงามเป็นบุญเป็นกุศลนั่นเอง
ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคล คนโบราณก็ยังแนะนำให้ปลูกต้นโกสนในวันอังคาร และปลูกไว้ทางทิศตะวันออกของบ้านเพื่อรับแสงแดดยามเช้า จะทำให้เห็นสีสันของใบที่สวยสด ดึงดูดสายตาของผู้ที่พบเห็น
ต้นโมก
มีความเชื่อบอกต่อ ๆ กันมาว่า การปลูกต้นโมก หรือ โมกข ที่หมายถึงผู้ที่หลุดพ้นด้วยทุกข์ทั้งปวง จะนำเอาความสุขกายสบายใจ ความปลอดภัยมาให้สมาชิกในบ้าน เพราะดอกโมกมีสีขาวบริสุทธิ์สะอาด ส่งกลิ่นหอมทั้งวัน บางคนอาจจะเรียกต้นโมกว่า พุดพิชญา หรือ พุทธรักษา เพราะเชื่อว่าจะต้นโมกสามารถปกป้องคุ้มครองสิ่งชั่วร้ายให้สมาชิกในบ้านได้
เคล็ดลับสำหรับการปลูกต้นโมกก็คือ ให้ปลูกในวันเสาร์ เพราะเป็นต้นไม้ที่ปลูกเพื่อเอาคุณตามความเชื่อของคนโบราณ จะช่วยให้ต้นโมกเจริญงอกงามได้ดี และปกป้องคุ้มครองคนในบ้านได้ ซึ่งทิศที่เหมาะสมที่สุดในการปลูกต้นโมกก็คือ ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ตัวอย่าพืชมงคล
ต้นบานไม่รู้โรย
บ้านไหนมีคู่รักต้องปลูกต้นบานไม่รู้โรยไว้ในบ้านด้วย เพราะชื่อบานไม่รู้โรยเป็นชื่อมงคล หมายความถึง ความยั่งยืน ความอดทน และไม่ย่อท้อ หากเปรียบกับความรักก็เหมือนความรักที่ยั่งยืน ช่วยให้คู่รักมีความผูกพันมั่นคงต่อกันไปนาน ๆ ปราศจากความโรยรา หรือผันแปรตลอดไป
ต้นโกสน
ไม้พุ่มหลากสีชนิดนี้ นิยมเป็นปลูกกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยเฉพาะภายในพระราชวัง และวัด เพื่อหวังให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข หากนำมาปลูกในบ้าน ก็จะทำให้ครอบครัวมีแต่ความสงบสุข ปราศจากความขัดแย้งใด ๆ นั่นเพราะคนสมัยก่อนเชื่อกันว่า คำว่า "โกสน" มีเสียงใกล้เคียงกับคำว่า "กุศล" ซึ่งหมายถึงการสร้างบุญ สร้างสิ่งที่ดีงามเป็นบุญเป็นกุศลนั่นเอง
ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคล คนโบราณก็ยังแนะนำให้ปลูกต้นโกสนในวันอังคาร และปลูกไว้ทางทิศตะวันออกของบ้านเพื่อรับแสงแดดยามเช้า จะทำให้เห็นสีสันของใบที่สวยสด ดึงดูดสายตาของผู้ที่พบเห็น
ต้นโมก
มีความเชื่อบอกต่อ ๆ กันมาว่า การปลูกต้นโมก หรือ โมกข ที่หมายถึงผู้ที่หลุดพ้นด้วยทุกข์ทั้งปวง จะนำเอาความสุขกายสบายใจ ความปลอดภัยมาให้สมาชิกในบ้าน เพราะดอกโมกมีสีขาวบริสุทธิ์สะอาด ส่งกลิ่นหอมทั้งวัน บางคนอาจจะเรียกต้นโมกว่า พุดพิชญา หรือ พุทธรักษา เพราะเชื่อว่าจะต้นโมกสามารถปกป้องคุ้มครองสิ่งชั่วร้ายให้สมาชิกในบ้านได้
เคล็ดลับสำหรับการปลูกต้นโมกก็คือ ให้ปลูกในวันเสาร์ เพราะเป็นต้นไม้ที่ปลูกเพื่อเอาคุณตามความเชื่อของคนโบราณ จะช่วยให้ต้นโมกเจริญงอกงามได้ดี และปกป้องคุ้มครองคนในบ้านได้ ซึ่งทิศที่เหมาะสมที่สุดในการปลูกต้นโมกก็คือ ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
สำนวนสุภาษิตไทย
สำนวน เป็นคำกล่าวที่คมคาย กะทัดรัดงดงาม และฟังดู
ไพเราะจับใจ รวมเนื้อความของเรื่องยาว ๆ ให้สั้นลง เป็นคำกล่าวที่ใช้ถ้อยคำเพียงเล็กน้อย แต่กินความหมายลึกซึ้ง
สุภาษิต หมายถึง คำกล่าวที่ดีงาม เป็นคำสั่งสอนที่มุ่งแนะนำให้ปฏิบัติ ให้ประพฤติดี ประพฤติชอบ หรือให้ละเว้น
สำนวนสุภาษิตไทย
ความหมายของสำนวนสุภาษิต
สำนวน เป็นคำกล่าวที่คมคาย กะทัดรัดงดงาม และฟังดู
ไพเราะจับใจ รวมเนื้อความของเรื่องยาว ๆ ให้สั้นลง เป็นคำกล่าวที่ใช้ถ้อยคำเพียงเล็กน้อย แต่กินความหมายลึกซึ้ง
สุภาษิต หมายถึง คำกล่าวที่ดีงาม เป็นคำสั่งสอนที่มุ่งแนะนำให้ปฏิบัติ ให้ประพฤติดี ประพฤติชอบ หรือให้ละเว้น
ตัวอย่างสำนวน สุภาษิต
ไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่ง
หมายถึง คนเราจะสวยได้ก็ด้วยการรู้จักแต่งตัวการรู้จักเสริมแต่งสิ่งที่ได้มาโดยธรรมชาติให้ดูดียิ่งขึ้น
คางคกขึ้นวอ
หมายถึง คนถ่อยหรือต่ำช้าคนที่มีฐานะต่ำต้อย พอได้ดีแล้วก็มักแสดงกิริยาอวดดีลืมตัว
ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่
ความหมาย ต่างฝ่ายต่างรู้ความลับของกันกัน
การละเล่นเด็กไทย
การละเล่น
หมายถึง การกระทำหรือกิจกรรมใด ๆ ที่ก่อให้เกิดความสนุกสนานรื่นเริงบันเทิงใจ ซึ่งมักมีกติกาการเล่นหรือการแข่งขันง่าย ๆ ไม่สลับซับซ้อนมากนัก
หมายถึง การกระทำหรือกิจกรรมใด ๆ ที่ก่อให้เกิดความสนุกสนานรื่นเริงบันเทิงใจ ซึ่งมักมีกติกาการเล่นหรือการแข่งขันง่าย ๆ ไม่สลับซับซ้อนมากนัก
จุดประสงค์ส่วนใหญ่ มุ่งเพื่อให้เกิดความสนุกสนาน เพื่อออกกำลังกาย และก่อให้เกิดความสามัคคีทั้งระหว่างผู้เล่นและผู้ชม
กติกาอาจกำหนดขึ้นไว้ก่อนและเคยปฏิบัติมาแล้วหรือ ตกลงกันตั้งขึ้นขณะจะเริ่มเล่นก็ได้ คือ ไม่ค่อยพิถีพิถันในเรื่องกติการมากนัก
การละเล่นของเด็กไทยมากมากมาย เช่น
จ้ำจี้
จำนวนผู้เล่น
| |
ผู้เล่นจะมีจำนวน 3-4 คน
| |
วิธีเล่น
| |
ผู้เล่นจะวางมือบนพื้น แล้วเด็กคนแรกเป็นคนชี้นิ้วไปเรื่อยๆ พร้อมกับร้องเพลง “จ้ำจี้มะเขือเปาะ” เมื่อร้องจบแล้วนิ้วชี้ไปตกที่นิ้วของใคร คนนั้นจะต้องหดนิ้วไว้ในอุ้งมือ จากนั้นก็เริ่มร้องเพลงต่อไปเรื่อยๆ สุดท้ายนิ้วใครขาดหายไปมากที่สุดจะถือว่าเป็นผู้แพ้
| |
เพลงประกอบ
| |
จ้ำจีมะเขือเปราะ
พายเรืออกแอ่น สาวๆ หนุ่มๆ อาบน้ำท่าวัด เอากระจกที่ไหนส่อง |
กะเทาะหน้าแว่น
กระแท่นต้นกุ่ม อาบน้ำท่าไหน เอาแป้งที่ไหนผัด เยี่ยมๆ มองๆ นกขุนทองร้องฮู้ |
ประโยชน์ของการละเล่น
1. เป็นการช่วยบริหารร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรง
2. เป็นการส่งเสริมให้เกิดความสามัคคี รักหมู่คณะ
3. เป็นการส่งเสริมการริเริ่มสร้างสรรค์
4. เป็นการฝึกปฏิญาณไหวพริบ
5. เป็นการสร้างเสริมในด้านขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมและเอกลักษณ์ของท้องถิ่น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)